ก.ส.สนับสนุนสินเชื่อ
1,000 ล้าน ให้โรงงานแปรรูป พยุงราคาสับปะรด
ธ.ก.ส. สนับสนุนสินเชื่อวงเงิน 1,000 ล้านบาท เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปเพื่อแก้ปัญหาราคาสับปะรดตกต่ำ โดยตั้งเป้ารับซื้อไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 4 บาท
นายลักษณ์ วจนานวัช
ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า
คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร(คชก.) ได้มีมติให้ ธ.ก.ส.
เข้าร่วมโครงการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาสับปะรด
ซึ่ง ธ.ก.ส. พร้อมให้การสนับสนุนสินเชื่อ Packing Credit ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ระยะเวลา 3 เดือน
ให้กับผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนวียนของกิจการและเสริมสภาพคล่องในการรับซื้อสับปะรดส่วนเกินจากเกษตรกร
ในการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์น้ำสับปะรดเข้มข้นไว้รอการจำหน่าย
สำหรับเงื่อนไขผู้ประกอบการโรงงานแปรรูปสับปะรดที่เข้าร่วมโครงการต้องจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ในเรื่องการกำหนดราคารับซื้อสับปะรดขั้นต่ำ
ณ หน้าโรงงานในราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 4 บาท กับเกษตรกร สถาบันและภาคราชการ
ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2554 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์
2555 โดยผู้ประกอบการจะได้รับชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
3 ต่อปี จาก คชก.เป็นระยะเวลา 3 เดือน
นับตั้งแต่วันที่ได้รับสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. และสิ้นสุดโครงการในวันที่ 31 พฤษภาคม 2555 ทั้งนี้การดำเนินโครงการดังกล่าวจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น
7.725 ล้านบาท
แบ่งเป็นเงินชดเชยดอกเบี้ย Packing Credit ระยะเวลา 3 เดือน วงเงิน 7.5 ล้านบาท ค่าบริหารจัดการโครงการของกรมส่งเสริมการเกษตร
วงเงิน 0.225 ล้านบาท
นายลักษณ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2554 มีผลผลิตสับปะรดออกสู่ตลาดประมาณ 2.59 ล้านตัน เทียบจากปีที่ผ่านมา มีเพียง
1.47 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.47 ทั้งนี้เพราะช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรขายสับปะรดได้ในราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 6-7
บาท ทำให้มีการขยายพื้นที่การเพาะปลูก ประกอบกับสภาพอากาศเอื้ออำนวย
ส่งผลให้ผลผลิตในภาพรวมเพิ่มขึ้น เช่น ในช่วงเดือนพฤศจิกายน
มีผลผลิตออกสู่ตลาดประมาณวันละ 11,000-12,000 ตัน
ขณะที่โรงงานแปรรูปมีกำลังการผลิตวันละ 10,000 ตัน
ทำให้มีผลผลิตส่วนเกิน ประกอบกับผู้นำเข้าในตลาดต่างประเทศลดปริมาณการสั่งซื้อ
เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้โรงงานมีสต็อคสินค้ามาก
ราคาซื้อขายสับปะรดจึงตกต่ำลงเหลือเพียงประมาณ 2-3 บาทต่อกิโลกรัม การดำเนินโครงการดังกล่าว
นอกจากเป็นการเข้าไปแก้ไขปัญหาราคาสับปะรดตกต่ำแล้ว
ยังเป็นการรักษาเสถียรภาพราคาส่งออกผลิตภัณฑ์สับปะรด
และเพิ่มอำนาจต่อรองของอุตสาหกรรมสับปะรดไทยในตลาดต่างประเทศด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น